วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

การสื่อสารและระบบเครือข่าย

                 การสื่อสารและระบบเครือข่าย (Communications and Networks)

 
ระบบการสื่อสารคือระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำหน้าที่ส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยใช้สายเชื่อมหรือไม่ใช้ก็ได้
ตัวอย่างโปรแกรมประยุกต์สำหรับการติดต่อสื่อสาร
•อีเมลล์ (E-mail)
•อินแสตนท์เมสเสจจิ้ง  (Instant messaging : IM)
•อินเทอร์เน็ตเทเลโฟน (Internet telephone)
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce)
ระบบการสื่อสาร
•อุปกรณ์ส่งและรับข้อมูล (sending and receiving device)
•ช่องทางสื่อสาร (communication channel)
•อุปกรณ์เชื่อมต่อ (connection device)
•การกำหนดรูปแบบในการขนส่งข้อมูล (data transmission specification)
ช่องทางสื่อสาร
•การเชื่อมต่อแบบมีสาย
•การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
สายคู่ตีเกลียวหรือสายโทรศัพท์ (Telephone line)
 


สายโคแอกเชียล (Coaxial cable)

สายเส้นใยนำแสง (Fiber-optic cable)

การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
•อินฟราเรด (Infrared)
•สัญญาณวิทยุ (Broadcast radio)Wi-FI (wireless fidelity) หรือ 802.11
•ไมโครเวฟ (Microwave)
•ดาวเทียม (Satellite)GPS
•บลูทูธ (Bluetooth)
อุปกรณ์เชื่อมต่อ
โมเด็ม (MODEM) เป็นอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณ ย่อมาจากโมดูเลชัน-ดีโมดูเลชัน (Modulation Demodulation)
โมดูเลชัน (modulation) หมายถึง กระบวนการในการเปลี่ยนสัญญาณดิจิทัลเป็นแอนะล็อก

 ดีโมดูเลชัน (demodulation) เป็นกระบวนการเปลี่ยนสัญญาณแอนะล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล
ความเร็วในการขนส่งข้อมูลของโมเด็ม
ชนิดของการเชื่อมต่อ
•หมุนโทรศัพท์ (Dial-up)
•ดีเอสแอล (Digital Subscriber Line : DSL) หรือ เอดีเอสแอล (Asymmetric Digital Subscriber Line : DSL)
•เคเบิลโมเด็ม (Cable modem)
•ดาวเทียม (Satellite/air connection service)
•เซลลูล่าร์  (Cellular service)
การขนส่งข้อมูล
      การขนส่งข้อมูล คือ การขนส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งข้อมูลอาจจะอยู่ในรูปของไฟล์                          ภาพ เสียง หรือตัวอักษร
 มีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการสื่อสาร รวมถึง
แบนด์วิดท์ (bandwidth) เป็นการวัดความจุของช่องทางสื่อสาร  ซึ่งประสิทธิภาพของการส่งจะขึ้นอยู่กับการส่งผ่านข้อมูลในช่องสัญญาณว่าสามารถส่งได้มากน้อยเพียงใดต่อหน่วยเวลา
โพรโทคอล

โพรโทคอล (Protocol) เป็นข้อตกลงสำหรับการรับส่งข้อมูลในระบบสื่อสาร ซึ่งมีอยู่หลายชนิด แต่โพรโทคอลที่ใช้งาน
ในระบบอินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP (Transmission control protocol/Internet protocol) โดยจะทำหน้าที่เกี่ยวกับ

การระบุอุปกรณ์รับและส่งข้อมูล

–การเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลระหว่างการรับและส่งข้อมูล

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเพื่อแลกเปลี่ยนสารสนเทศและใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกัน
คำศัพท์เฉพาะที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
โหนด (node)
ไคลแอนต์ (client) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์รับบริการ
เซิร์ฟเวอร์ (server ) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ให้บริการ
ฮับ ( hub)
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย  (Network Interface Card : NIC)
ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System : NOS)
คำศัพท์เฉพาะที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การประมวลผลแบบกระจาย (distributed processing)
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (host computer)
ผู้ดูแลเครือข่าย  (network manager)

ชนิดของเครือข่าย

•เครือข่ายบริเวณเฉพาะที่หรือแลน (Local area network)
เครือข่ายเฉพาะที่ภายในบ้าน (Home network)
•WLAN
•เครือข่ายบริเวณนครหลวงหรือแมน (Metropolitan area network)
•เครือข่ายบริเวณกว้างหรือแวน (Wide area network)
สถาปัตยกรรมเครือข่าย
สถาปัตยกรรมเครือข่าย (network architecture)  เป็นการอธิบายเกี่ยวกับ
•โครงร่างเครือข่ายแบบต่างๆ
•วิธีการเชื่อมต่อเครือข่าย
•ลักษณะการใช้งานเครือข่าย
•การแลกเปลี่ยนทรัพยากรต่างๆ
                         สถาปัตยกรรมเครือข่าย
สามารถแบ่งออกได้ 4 แบบ ตามรูปแบบของการเชื่อมต่อหรือที่เรียกว่า โทโพโลยี (topology).
 แบบดาว (Star) คือ 
- การนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งหรืออุปกรณ์ต่อพ่วงเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ส่วนกลาง

- การสื่อสารทำได้โดยการขนส่งข้อมูลเข้าออกไปยังส่วนกลาง ซึ่งจะถูกควบคุมโดยการหยั่งสัญญาณ (polling) นั่นคือแต่ละอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายจะมีการถาม หรือการหยั่งสัญญาณว่ามีเครื่องหนึ่งเครื่องใดส่งสัญญา
อยู่ในระบบหรือไม่ 

แบบบัส (Bus) คือ
•คือการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันบนสายเส้นเดียวกันตลอดทั้งสายสัญญาณ  การส่งข้อมูลจะผ่านไปในสายที่เชื่อมต่อที่เรียกว่าบัส (BUS)
• ข้อมูลที่ส่งผ่านไปในบัส จะถูกตรวจสอบโดยอุปกรณ์แผ่นวงจรเครือข่ายที่ติดอยู่ที่คอมพิวเตอร์แต่ละตัวว่าเป็นข้อมูลของตนเองหรือไม่ ถ้าใช่ก็สามารถเปิดดูข้อมูลนั้นได้
แบบวงแหวน( Ring) คือ
•จะมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวงกลม
•ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์บริการไฟล์หรือคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลาง

     แบบลำดับชั้น( Hierarchical)

ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางคล้ายกับเครือข่ายแบบดาว

คอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่อยู่สูงที่สุดของชั้นจะเป็นเมนเฟรม คอมพิวเตอร์ชั้นล่างของเมนเฟรมอาจจะเป็นมินิคอมพิวเตอร์ และชั้นล่างสุดอาจจะเป็นไมโครคอมพิวเตอร์

ลักษณะการใช้งานระบบเครือข่าย
สามารถแบ่งลักษณะการใช้งานระบบเครือข่ายได้ดังนี้
–ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปลายทาง (Terminal)
–ระบบเครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ (Client/Server)
–ระบบเครือข่ายแบบโหนดจุด (Peer-to-peer)

อินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กร

อินทราเน็ต (Intranet)
–จะต้องมีรหัสบัญชีผู้ใช้
–ใช้งานเฉพาะภายในองค์กร
เอ็กซ์ทราเน็ต (Extranet)
–ใช้งานเฉพาะภายในองค์กร และ สามารถกำหนดสิทธิให้เข้าถึงองค์กรอื่นได้
ไฟร์วอลล์ (Firewall)
–เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ทั้งจากภายนอกและภายในเครือข่าย



ขอบคุณข้อมูลจาก  อาจารย์จรัญญ์ ตะวงษา







อุปทาน

อุปทาน (Supply)
ความหมายของอุปทาน
 อุปทาน (supply) หมายถึง จำนวนสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ธุรกิจจะนำออกขายในตลาดแห่งหนึ่งระดับราคาต่าง ๆ กัน ในระยะเวลาที่กำหนดให้
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดอุปทานและฟังก์ชันอุปทาน (supply determinants and supply function)
ปัจจัยกำหนดอุปทาน (supply determinants)
  1)  ระดับราคาสินค้าในตลาด (price : Px)
  2)   จุดมุ่งหมายของธุรกิจ (objective : O)
  3)   สภาพเทคโนโลยี (technology : t)
  4)    ต้นทุนการผลิต (cost : C)
  5)  การเปลี่ยนแปลงในระดับราคาของสินค้าและบริการอื่นๆ(changing in the price of other related goods : Py)
  6)   ดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาล (season : S)
ฟังก์ชันอุปทาน (supply function)

ฟังก์ชันอุปทานข้างต้นแปลความหมายได้ว่าจำนวนขายสินค้าขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าชนิด X(Px) จุดมุ่งหมายของธุรกิจ(O) สภาพเทคโนโลยี (T) ต้นทุนการผลิต(C)การเปลี่ยนแปลงในระดับราคาของสินค้าและบริการอื่น ๆ (Py) และดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาล (S)
กฎของอุปทาน (Low of supply)
“ถ้าสิ่งอื่น ๆ อยู่คงที่ จำนวนขายสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้นเสมอ”
ตารางอุปทานและเส้นอุปทาน  (supply schedule and supply curve)
ตารางอุปทานมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. ตารางอุปทานของหน่วยธุรกิจหรือผู้ผลิตแต่ละราย (individual  supply schedule)
  2.ตารางอุปทานรวมหรือตารางอุปทานของตลาด (total supply schedule or market supply schedule)
ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลง  จำนวนขายและการเปลี่ยนแปลงอุปทาน
1.  การเปลี่ยนแปลงจำนวนขาย (change in the quantity   supplied) หมายถึง 
การที่จำนวนขายสินค้าและบริการ  ชนิดใดชนิดหนึ่งเปลี่ยนไปเนื่องจากราคาสินค้า  ชนิดนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงโดยที่ปัจจัย กำหนดอุปทานอื่น ๆ ทั้ง 5 ตัว อยู่คงที่ ในกรณีเช่นนี้ เส้นอุปทานจะไม่ เปลี่ยนแปลงแต่เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายไปตามเส้นอุปทาน (move along curve)
2 การเปลี่ยนแปลงอุปทาน (change in supply) หมายถึง 
การที่  ปัจจัยกำหนดอุปทานอื่น ๆ เช่น จุดมุ่งหมายของธุรกิจ สภาพ  เทคโนโลยี ต้นทุนการผลิต การเปลี่ยนแปลงในระดับราคา  ของสินค้าและบริการอื่น และดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาล ตัวใด  ตัวหนึ่งหรือหลายตัวในจำนวนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป และมีผล  ทำให้จำนวนขายเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทั้ง ๆ ที่ระดับราคาสินค้า  ยังคงเดิมในกรณีเช่นนี้จะทำให้มีการเคลื่อนย้ายของเส้น      อุปทานทั้งเส้น (shift in supply curve) ซึ่งแตกต่างจากการ  เปลี่ยนแปลงจำนวนขาย
  ดังนั้น เราสรุปได้ว่า การเคลื่อนย้ายอุปทานไปทางขวามือ อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายการผลิต  เช่นต้องการยอดขายมาก มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นกว่าเดิม ต้นทุนการผลิตลดลง การลดลงของราคาสินค้าและบริการชนิดอื่น ๆ และสภาพดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาลอำนวย กรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณีรวมกัน ในทางตรงกันข้างเส้นอุปทานจะเปลี่ยนแปลงไปทางซ้ายมือเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายการผลิต เช่น ต้องการขายจำนวนน้อยลงมีการใช้เทคโนโลยีน้อยลงหรือล้าสมัยกว่าเดิมต้นทุนการผลิตสูงขึ้นการเพิ่มขึ้นของราคาของสินค้าและบริการอื่นและสภาพดินฟ้าอากาศหรือฤดูกาลไม่เอื้ออำนวย กรณีใดกรณีหนึ่งหรือหลายกรณีรวมกัน 
การกำหนดดุลยภาพของตลาดโดย อุปสงค์และอุปทาน
ต่อไปนี้จะเป็นการพิจารณาว่าอุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) ร่วมกันกำหนดภาวะดุลยภาพ (equilibrium)
ตารางอุปสงค์ตลาดและอุปทานตลาดของสมุด
ภาวะดุลยภาพนี้จะดำรงอยู่ได้นานแต่ถ้าตัวกำหนดต่างๆของอุปสงค์และอุปทานเปลี่ยนแปลงไปภาวะดุลยภาพก็จะเปลี่ยนแปลงไป
 .
การเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพ
 โดยปกติ ภาวะดุลยภาพของตลาดจะดำรงอยู่ได้นาน  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ตราบเท่าที่อุปสงค์และอุปทานยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าปัจจัยกำหนดอุปสงค์และอุปทาน   ตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัว (ยกเว้นราคาของสินค้าและบริการชนิดนั้น) เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีผลทำให้เส้นอุปสงค์หรือเส้นอุปทานเปลี่ยนแปลงไปแล้วย่อมทำให้ภาวะดุลภาพเปลี่ยนแปลงไปด้วย


ขอบคุณ ข้อมูล จาก อาจารย์ จรัญญ์ ตะวงษา












วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

อุปสงค์

 อุปสงค์ (Demand)


ความหมายของอุปสงค์ 
 อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีผู้ต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆ ของสินค้าชนิดนั้นภายในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยสมมุติให้ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปสงค์คงที่ ความต้องการในที่นี้ต้องมีอำนาจซื้อ(purchasing power หรือ ability to pay)ด้วย ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีแต่ความต้องการในตัวสินค้าโดยไม่มีเงินที่จะจ่ายซื้อ เราเรียกความต้องการลักษณะนั้นว่า “ความต้องการ (want)” ไม่ใช่ “อุปสงค์ (want)”  ดังนั้น องค์ประกอบของอุปสงค์ จะประกอบด้วย ความต้องการและอำนาจซื้อ



กฎของอุปสงค์ (Law of Deman
กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงไป กฎของอุปสงค์กล่าวว่า "ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในขณะใดขณะหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับราคาสินค้าชนิดนั้น"  โดยมีข้อสมมติให้ปัจจัยอื่นๆคงที่  แสดงว่า

              ผลดังกล่าวเราเรียกว่าผลของราคา (price effect) เป็นผลสื่บมาจากเนื่องจากสาเหตุ 2 ประการ คือ

                       1. เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลง  ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้าชนิดนั้นมีราคาถูกเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าชนิดอื่นๆ  จึงลดการบริโภคสินค้าชนิดอื่นลง  แล้วหันมาบริโภคสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นแทนการบริโภคสินค้าชนิดอื่นที่ลดลง ในตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นสูงขึ้น  ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้าชนิดนั้นมีราคาแพงเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าชนิดอื่นๆ  จึงลดการ
บริโภคสินค้าชนิดนั้นลง  แล้วหันมาบริโภคสินค้าชนิดอื่นๆเแทน  เราเรียกผลของการเปลี่ยนแปลงปริมาณการบริโภคอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในราคาเปรียบเทียบ (Relative price) ของสินค้าว่า ผลของการใช้แทนกัน (Substitution effect)
               2. เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลง  ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเขามีรายได้เพิ่มขึ้น  ทั้งนี้เพราะรายได้จำนวนเดิมจะมีอำนาจซื้อมากขึ้น  ดังนั้น เขาจึงซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นสูงขึ้น  ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเขามีรายได้น้อยลง ดังนั้น เขาจึงซื้อสินค้าลดลง  เราเรียกผลของการเปลี่ยนแปลงปริมาณการบริโภคอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในอำนาจซื้อของเงินรายได้ว่า ผลของรายได้ (Income effect)


                                                      ตารางอุปสงค์และเส้นอุปสงค์
ตารางอุปสงค์บัญชีหรือตารางปริมาณสินค้าในระดับต่างๆ ที่ผู้บริโภคต้องการและสามารถซื้อได้ ณ ระดับราคาต่างๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปัจจัยอื่นๆ คงที่

ตารางที่ 2.1


      อุปสงค์ของ นาย ก. ที่มีต่อเนื้อหมูนใน 1 สัปดาห์


                                                                 ลักษณะของเส้นอุปสงค์
เส้นอุปสงค์ (Demand Curve) จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงลาดลงจากซ้ายมาขวา ความชัน (slope) ของเส้นเป็นลบ เนื่องจากราคาและปริมาณความต้องการซื้อมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual Demand) และอุปสงค์ตลาด (Market Demand)
        ในการพิจารณาอุปสงค์ ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคคนใดคนหนึ่งต้องการ เรียกอุปสงค์นั้นว่า “อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual Demand)” แต่ถ้าพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคทั้งหมดในสังคมหนึ่งๆ ต้องการซื้อ เรียกอุปสงค์นั้นว่า “อุปสงค์ของตลาด (Market Demand)”


 เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อส้มของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดับราคาส้มกิโลกรัมละ 70 บาท นาย ก.ซื้อส้ม 1 กิโลกรัม ส่วนนาย ข. ซื้อส้ม 2 กิโลกรัม ดังนั้น อุปสงค์ส่วนบุคคลของนาย ก.คือ 1 กิโลกรัม อุปสงค์ส่วนบุคคลของนาย ข. คือ 0 กิโลกรัม ส่วนอุปสงค์ของตลาดคือ 1 + 0 = 1 กิโลกรัม  ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราทราบอุปสงค์ของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดับราคาอื่นๆ เราก็สามารถหาอุปสงค์ของตลาด ณ ระดับราคาต่างๆ กันได้ ดังแสดงในช่องสุดท้ายของตาราง
เราอาจแสดงการหาอุปสงค์ของตลาดจากอุปสงค์ของแต่ละบุคคลโดยรูปได้ดังนี้


                           อุปสงค์ของ นาย ก. นาย ข. และอุปสงค์ของตลาดเนื้อหมู ใน 1 สัปดาห์

ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์    

รายได้ของผู้บริโภค ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ในกรณีสินค้าปกติ (Normal Goods) และสินค้าฟุ่มเฟือย (Superior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ส่วนในสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม
ระดับราคาสินค้าชนิดอื่น  ปริมาณการเสนอซื้อสินค้าถูกกำหนดโดยราคาสินค้าชนิดอื่นด้วย เนื่องจากสินค้าที่ซื้อขายในตลาดมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ สินค้าบางชนิดสามารถใช้แทนกันได้ (Substitute goods) หรือสินค้าบางชนิดต้องใช้ร่วมกัน (complementary goods)  ดังนั้น การที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณเท่าใดต้องพิจารณาถึงราคาของสินค้าชนิดอื่นที่สัมพันธ์กันด้วย

รสนิยมของผู้บริโภค รสนิยมของบุคคลโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตาม อายุ อาชีพ ขนบธรรมเนียมประเพณี ระดับการศึกษา และบุคลิกส่วนตัว นอกจากนี้ยังเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ยุคสมัย นอกจากนี้ความนิยมในแต่ละสินค้ายังเปลี่ยนแปลงได้เร็วช้าแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสินค้าที่พิจารณา

การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต
 การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุปสงค์ของสินค้าเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับการคาดคะเนของผู้บริโภคแต่ละคน

ขนาดและโครงสร้างของประชากร   โดยปกติถ้าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอุปสงค์ของสินค้าแทบทุกชนิดย่อมเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างประชากรด้วย ลักษณะโครงสร้างประชากรมีผลให้อุปสงค์ของสินค้าบางชนิดเพิ่มขึ้นและบางชนิดลดลง

ปัจจัยอื่นๆ การที่ผู้บริโภคจะมีอุปสงค์ต่อสินค้ายังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น อุปนิสัยในการใช้จ่าย ลักษณะการจัดเก็บภาษีของรัฐ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น


การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์
          การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 2 แบบคือ
ารเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปสงค์ (Change in quantity demand) เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์เนื่องจากราคาสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ข้อสมมุติปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปสงค์คงที่ การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปสงค์จะทำให้ปริมาณการเสนอซื้อเปลี่ยนแปลงอยู่บนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟ การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ ดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเส้นอุปสงค์เส้นเดิมจาก จุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (ตามรูปจากจุด A ไปยัง จุดB)

การเปลี่ยนแปลงระดับอุปสงค์ (Change in demand)
 เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เช่น รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เปลี่ยนแปลง ภายใต้ข้อสมมุติราคาสินค้าชนิดนั้นคงที่ และส่งผลให้เส้นอุปสงค์เกิดการเคลื่อนย้ายไปจากเส้นเดิม ถ้าผลการเปลี่ยนแปลงทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นเส้นจะเลื่อนระดับไปด้านขวามือของเส้นเดิม และถ้ามีผลให้อุปสงค์ลดลงเส้นจะเลื่อนระดับไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม  ถ้าพิจารณาจากกราฟ การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนย้ายเส้นอุปสงค์ไปทั้งเส้นจากเส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถ้าเส้นอุปสงค์เคลื่อนย้ายไปทางขวาของเส้นเดิมแสดงว่าอุปสงค์เพิ่มขึ้น ถ้าเคลื่อนย้ายไปทางซ้ายแสดงว่าอุปสงค์ลดลง ดังรูป


ขอบคุณข้อมูล จาก อาจารย์ จรัญญ์  ตะวงษา